
นำเสนอเนื้อหาความรู้ของแต่ละกลุ่ม
![]() |
กลุ่มที่ 1 มอนเตสเซอรี่ |
การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ Montessori
การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ เป็นการจัดสภาพการเรียนรู้โดยมีครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เหมือนบ้าน
และกระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง
ใช้จิตใจซึมซับสิ่งแวดล้อม
ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ จัดสิ่งแวดล้อมและอุปกรณ์ให้เด็กได้ฝึกทักษะกลไกผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5
1. ด้านทักษะกลไก (Motor Education)
เด็กจะทำกิจกรรมต่างๆ
ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของชีวิตประจำวัน การดูแลตนเองเรื่องต่างๆ การจัดการเกี่ยวกับของใช้ในบ้าน
2. ด้านประสาทสัมผัส (Education of the Senses)
การใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า กิจกรรมที่จัดให้เด็กปฏิบัติผ่านการเล่นที่มีวิธีการเสมอ เช่น
หอคอยสีชมพู แผ่นไม้สีต่างๆ เศษผ้าสีต่างๆ รูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ รูปทรงกระบอก เรขาคณิต เป็นต้น
3. ด้านการเขียนและคณิตศาสตร์ (Preparation For Writing and Arithmetic)
เตรียมเด็กเข้าสู่ระดับประถมศึกษา
เตรียมตัวด้านการอ่านการเขียนโดยธรรมชาติ การประสมคำ คณิตศาสตร์ การแนะนำเลขจำนวนเต็ม 10 ด้วยลูกปัด แบบฝึกหัดการบวกและการลบ
การเรียนรู้คำศัพท์ต่างๆ เรียนเรื่องส่วนที่เป็นพื้นดิน เช่น ที่ราบ ภูเขา เกาะ เป็นต้น
ที่มาของการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ Montessori
เกิดจากแนวคิดของ Maria Montessori แพทย์หญิง ชาวอิตาลีที่มีความเชื่อว่า
“การให้การศึกษากับเด็กในวัยเริ่มต้น ไม่ใช่การนำความรู้ไปบอกเด็ก
แต่ควรเป็นการปลูกฝังให้เด็กได้เจริญเติบโตไปตามความต้องการทางธรรม ชาติของเขา” โดยประดิษฐ์สื่อวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นหัวใจสำคัญในการเปิดโอกาสให้เด็กได้ค้นพบสิ่งต่างๆ
ด้วยตัวเอง โดยเน้นการฝึกฝนทางด้านประสาทสัมผัสจับต้อง บิดหรือหมุนด้วยมือ
เพื่อให้สมองทำหน้าที่ตอบสนองได้ เด็กๆ จะได้เรียนรู้ความสำเร็จ ความล้มเหลว
รู้จักแก้ไขข้อผิดพลาด
ลักษณะการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ Montessori
มีลักษณะส่งเสริมการเรียนด้วยตนเอง เน้นการช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด โดยโรงเรียนจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมือนบ้าน เรียนจากง่ายไปหายาก จากขวาไปซ้าย และจัดมุมประสบการณ์ตามความสามารถ สื่ออุปกรณ์ตอบสนองบุคคล
หลักการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่
1. เด็กจะต้องได้รับการยอมรับนับถือ
เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน
ควรจัดการศึกษาให้เด็กแต่ละคนตามความสามารถและความต้องการโดยพัฒนาการสอนให้สัมพันธ์กับพัฒนาการความต้องการของเด็ก
2. เด็กมีจิตซึมซาบได้
เปรียบจิตของเด็กเหมือนฟองน้ำ
ซึ่งจะซึมซาบข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม เด็กใช้จิตในการหาความรู้
ในการพัฒนาของจิตที่ซึมซาบได้มีทั้งระดับที่เราทำไปโดยที่รู้สึกตัว
และโดยไม่รู้สึกตัว
3. ช่วงเวลาหลักของชีวิต
สำหรับการเรียนรู้ในระยะแรกเป็นช่วงพัฒนาสติปัญญา
และเด็กสามารถเรียนทักษะเฉพาะอย่างได้ดี
4. การเตรียมสิ่งแวดล้อม
มอนเตสซอรี่เชื่อว่า
เด็กเรียนได้ดีที่สุดในสภาพการจัดสิ่งแวดล้อมที่ได้ตระเตรียมเอาไว้อย่างมีจุดหมาย
5. การศึกษาด้วยตนเอง
เด็กมีอิสระในสิ่งแวดล้อมที่จัดเตรียมไว้
มอนเตสซอรี่กล่าวว่า
เด็กมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ระเบียบวินัยของชีวิตโดยการมีอิสรภาพในการทำงาน
ประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัย
- เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ตนเอง สามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ดี
- เรียนด้วยความสุข มีสมาธิจากการทำงาน
- เด็กได้เข้าสังคมกับเพื่อน เรียนรู้ที่อยู่ร่วมกัน
- มุ่งให้เด็กทำกิจกรรมจนสำเร็จด้วยตนเอง
- เด็กจะเจริญเติบโตตามธรรมชาติ
เพราะการสอนแบบมอนเตสซอรี่ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาหลักของชีวิต
- เด็กมีบุคลิกภาพที่ดี คือ เป็นผู้กล้าคิดและตัดสินใจด้วยตนเอง
ใช้เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างภาษาทั่ว ๆ
ไปที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเพื่อการสื่อสาร เช่น ภาษามนุษย์ ออกจากภาษาที่ถูกสร้างขึ้นอย่าง เช่น ภาษาโปรแกรมสำหรับสั่งงานคอมพิวเตอร์ หรือภาษาที่ใช้ในการศึกษาตรรกะ
เป็นการสอนภาษาแบบบูรณาการทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน
เขียนให้แก่เด็กพร้อมกันอย่างมีความหมาย สอดคล้องเหมาะสมกับวัย เป็นธรรมชาติของคนเรา
และเน้นให้เด็กกระทำด้วยตนเอง ซึ่งส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาของเด็ก
แนวคิดของนักวิจัยทางภาษา Jean Piaget
ที่เชื่อว่า
การที่เด็กได้เคลื่อนไหวสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัวจะเป็นการคิด สร้างความรู้ขึ้นภายในตนหรือเด็กเป็นผู้กระทำ
ไม่ใช่การรับเข้าไปเฉยๆ การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลของสังคมและผู้อื่น
จึงเน้นให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่
ลักษณะการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
- เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้
เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ ครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้
และร่วมมือจัดการเรียนการสอนร่วมกันระหว่างเด็กกับครู และการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น
- ผู้ใหญ่เป็นนักอ่านที่ดีให้เด็กเห็นเป็นแบบอย่างและผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้เด็กฟังให้เด็กมีโอกาสซึมซับภาษา
สรุปการสอนภาษาธรรมชาติส่งผลต่อสมองของเด็ก
การได้รับการพัฒนาอย่างถูกวิธี จึงทำให้เด็กมั่นใจในการสื่อสาร
รักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองและมีทัศนคติที่ดีกับภาษา ซึ่งเด็กตระหนักรู้ว่าภาษามีความหมายในชีวิตจากประสบการณ์ทางภาษาที่มีอยู่จริง
เช่น ป้ายประกาศ
นิทาน
ฉลากกล่องใส่นมหรืออาหาร เป็นต้น
การจัดทำสารนิทัศน์ในระดับปฐมวัย
สารนิทัศน์หมายถึง ส่วนสำคัญที่นำมาเป็นตัวอย่าง
อาจเป็นผลงานของเด็ก ภาพถ่าย กิจกรรมของเด็ก บทสนทนาของเด็ก
ที่แสดงให้ผู้อื่นเห็น หรือแสดงให้เห็นร่องรอยของการเจริญเติบโต พัฒนาการ
และการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย จากการทำกิจกรรมของเด็กเป็นรายบุคคล
หรือเป็นรายกลุ่ม
กระบวนการจัดทำสารนิทัศน์ตามแนวคิดของ พัชรี ผลโยธิน
การเตรียมความพร้อมในการจัดทำสารนิทัศน์
ขั้นแรก ของการจัดทำประกอบด้วย
การรวบรวมวัสดุอุปกรณ์ กำหนดเป้าหมาย
จุดมุ่งหมาย วางแผนการทำ และเตรียมเด็กให้มีส่วนร่วม
การจัดทำสารนิทัศน์
ขั้นที่สอง ประกอบด้วย การรวบรวมข้อมูล
โดยบันทึกข้อมูลจากการสังเกต ถ่ายภาพ
บันทึกและไตร่ตรองข้อมูล
การจัดแสดงสารนิทัศน์
ขั้นสุดท้าย คล้ายกับจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ จะต้องสร้างความสนใจ
จัดวางให้เหมาะสมแก่ผู้ชม
สารนิทัศน์ประเภทที่ 1 การบรรยายเรื่องราว หรือประสบการณ์
การเขียนเรื่องราวเหตุการณ์ การปฏิบัติกิจกรรมตามลำดับเหตุการณ์
ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดเหตุการณ์ เพื่อบอกประโยชน์และเรื่องราวที่ได้จากการทำกิจกรรมหรือกิจวัตรประจำวันที่โรงเรียน
ตัวอย่างการเขียนบรรยายภาพกิจกรรมการเรียนการสอนประกอบอาหาร
เด็กๆและคุณครูร่วมกันประกอบอาหาร
“ไก่ป๊อบ” ในหน่วย เรื่อง
อาหารดีมีประโยชน์ เด็กแต่ละคนอาสานำส่วนผสมต่างๆมาคนละหนึ่งชนิด
เด็กๆลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนที่คุณครูสาธิตให้ดูในตอนแรก เด็กๆสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนได้ถูกต้อง
เด็กได้เห็นความแตกต่างอาหารก่อนและหลังสุกเป็นอย่างไร เด็กๆ
เรียนรู้ผ่านกระบวนการวิทยาศาสตร์ เข้าใจการทำงานและช่วยเหลือผู้อื่น
ขั้นที่ 5 ตัด หยุด มีระดับความก้าวหน้าขึ้นสามารถตัดภาพจากนิตยสาร ตัดตามโครงร่างของภาพได้ สามารถควบคุมการตัดได้อย่างคล่องแคล่ว
สารนิทัศน์ประเภทที่
2 การสังเกตพัฒนาการเด็ก
เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลตัวอย่างเด็กอย่างไม่เป็นทางการใช้วิธีการนี้รวบรวมพัฒนาการของเด็กทุกด้าน
การสังเกตต้องใช้หูและตาเป็นเครื่องมือสำคัญ ควรมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน
มีแบบบันทึกการสังเกต เพื่อนำข้อมูลไปประเมินและช่วยพัฒนาเด็กในแต่ละด้าน
ตัวอย่างการบันทึกพฤติกรรม
พฤติกรรม
น้องต้นน้ำยืนพูดคุยกับเพื่อนที่ขอบสระน้ำ
น้องและเพื่อนใช้มือตีน้ำและสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น น้องพูดกับเพื่อนว่า “น้ำเย็นจัง
มีคลื่นเหมือนทะเลเลย มีรูปมือเป็นหยักลอยอยู่ในน้ำด้วย เห็นไหม”
ข้อสังเกตจากการบันทึก
จากพฤติกรรมที่คุณครูบันทึก สามารถประเมินผลพัฒนาการของเด็กได้ว่า
น้องสามารถสังเกตและเปรียบเทียบเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับสิ่งที่กำลังเรียนรู้ และถ่ายทอดให้ผู้อื่นรับฟังได้
น้องได้พัฒนาทักษะทางภาษาจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อน
สารนิทัศน์ประเภทที่ 3 แฟ้มสะสมงาน (Portfolio)
เป็นสารนิทัศน์ที่มุ่งเน้นด้านการจัดเก็บรวบรวมผลงานของเด็กเป็นรายบุคคล
หรือ อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ช่วยให้เห็นพัฒนาการและความก้าวหน้าต่างๆของเด็ก
เป็นวิธีการที่เหมาะในการวัดและประเมินเด็กในลักษณะการเรียนการสอนที่เน้นเด็กเป็นสำคัญและนึกถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นสำคัญ
![]() |
ตัวอย่างการประเมินผลงานการใช้กรรไกร |
ขั้นที่ 5 ตัด หยุด มีระดับความก้าวหน้าขึ้นสามารถตัดภาพจากนิตยสาร ตัดตามโครงร่างของภาพได้ สามารถควบคุมการตัดได้อย่างคล่องแคล่ว
สารนิทัศน์ประเภทที่ 4 ผลงานรายบุคคลและรายกลุ่ม
ผลงานรายบุคคล
การนำผลงานของเด็กในการทำกิจกรรมมาจัดเก็บ
เพื่อแสดงให้เห็นกระบวนการเรียนรู้
และพัฒนาการของเด็กรายบุคคลโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
ผลงานรายกลุ่ม
การนำเสนอผลงานของเด็กเป็นกลุ่มมาจัดเก็บ หรือ ถ่ายทอดสู่ผู้อื่น
ทำให้เด็กได้เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม มีการบ่างหน้าที่ ความรับผิกชอบ ระดมสมอง
แลกเปลี่ยนความคิด พึ่งพาการโดยคำนึงถึงส่วนรวม
ตัวอย่างผลงานรายบุคคล วาดภาพประกอบการบรรยาย
โดยเด็กๆจะเป็นคนคอย คัดลอกคำ
ตามตัวอย่างที่คุณครูเขียนให้ลงสู่ผลงานรายบุคคลได้ด้วยตนเอง
ตัวอย่างผลงานรายกลุ่มย่อย
สร้างบล็อก
คุณครูควรมีพื้นฐานทฤษฎีการเล่นบล็อกและสามารถบันทึกขั้นพัฒนาการให้ถูกต้อง
ขั้นที่ 7 ให้ชื่อสิ่งที่สร้างและเล่นบทบาทสมมติ
สารนิทัศน์ประเภทที่
5 การสะท้อนตนเอง
การแสดงความคิดเห็น ความรู้ความเข้าใจ
ความรู้สึกของผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดประสบการณ์และกิจกรรม ประกอบด้วย
เด็ก คุณครู และผู้ปกครอง โดยมีการสะท้อนตนเองของบุคคลทั้ง 3 กลุ่ม
- หลักฐานการสะท้อนตนเองของเด็ก
- หลักฐานการสะท้อนตนเองของคุณครู
- หลักฐานการสะท้อนตนเองของผู้ปกครอง
ตัวอย่างการสะท้อนตนเองของเด็กการจากเรียนโครงการ พัดลม
ดานิจชอบกิจกรรมปิดนิทรรศการโปรเจคมากครับ ดานิจ เป็นพิธีกรพูดปิดโปรเจคและดานิจก็พูดแผ่นประเภทพัดลมครับ
พัดลมมีเยอะมาก 3 ประเภทคือ พัดลมตั้งโต๊ะ พัดลมตั้งพื้น พัดลมคิดผนัง ที่บ้าน
ดานิจมี พัดลมเยอะพัดลมที่ชอบมากที่สุด คือพักลมตั้งโต๊ะ ดานิจชอบกิจกรรมปิดโปรเจคเพราะว่ามะห์
มาดูดานิจพูดด้วยและดานิจก็เดินแบบโชว์เสื้อพัดลมที่เพ้นท์เองด้วยครัย
น้องดานิจ
ตัวอย่างการสะท้อนตนเองของคุณครู ในรูปแบบสัมภาษณ์หัวข้อ การเรียนการสอนแบบโครงการ
การเรียนการสอนแบบโครงการ (Project
Approach
)เป็นการเรียนรู้ที่เป็นระบบอย่างลุ่มลึก
หัวใจสำคัญที่ทำให้เด็กประสบความสำเร็จได้
คือการทำงานภาคสนามและ
วิธีการค้นหาข้อมูลโดยมีเด็กเป็นผู้ริเริ่ม
คุณครูอภิชนา สุ้ยเสริมสัน
ตัวอย่างการสะท้อนตนเองของผู้ปกครองเมื่อมาชมการปิดนิทรรศการโครงการ
ผีเสื้อ
ดีใจที่ได้มาชมโครงการ เด็กๆน่ารัก
และมีความคิดสร้างสรรค์ กล้าแสดงออกต่อหน้าคนจำนวนมากๆ เด็กๆ เก่งทุกคน
คุณครูเก่งกว่าเพราะสอนให้แด็กๆเก่งขนาดนี้
คุณพ่อน้อง ปัญ ปัญ
เกร็ดเทคนิคการจัดทำสารนิทัศน์
การจัดทำสารนิทัศน์ เป็นสิ่งที่ครูต้องคำนึง และ เอาใจใส่
ต้องเปิดใจ เข้าใจ เรียนรู้และพัฒนาการจัดการชั้นเรียน
รู้จักการเก็บข้อมูลขณะที่เด็กทำกิจกรรม รู้จักหลักการสะท้อนกลับข้อมูล
รู้จักวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้เห็นกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาการของเด็กที่เหมาะสมกับช่วงวัย

![]() |
กลุ่มที่ 4 แฟ้มสะสมผลงาน |
แฟ้มสะสมผลงาน
เป็นสารนิทัศน์ที่มุ่งเน้นด้านการจัดเก็บรวบรวมผลงานของเด็กเป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
ช่วยให้เห็นความก้าวหน้าทางพัฒนาการด้านต่างๆและความสำเร็จของเด็ก
การจัดเก็บรวบรวมข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนได้มีโอกาสสะท้อนความคิด ความพยายาม
และแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างสมบูรณ์
จุดประสงค์ของการทำแฟ้มสะสมผลงาน
- เห็นคุณภาพของงานและการคิดของเด็ก
- ได้แสดงความก้าวหน้าของเด็กในเวลาที่ล่วงไป
- ประเมินงานของเด็กแต่ละคน
- สะท้อนประสบการณ์ที่เด็กได้รับ
- ให้โอกาสสะท้อนสิ่งที่คาดหวังในงานของเด็ก
- ให้ข้อมูลที่สำคัญที่เกี่ยวกับความก้าวหน้าของเด็ก
องค์ประกอบแผ้มสะสมผลงาน
1.ส่วนปก ปกนอกและปกใน
2.ส่วนนำ คำนำ ข้อมูลผู้เรียน สารบัญ
3.ส่วนเนื้อหา
เป็นส่วนรวบรวมหลักฐาน ผลงาน เอกสารต่างๆที่แสดงถึงความรู้ ทักษะ
และเจตคติของผู้เรียน
4. ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมหรือภาคผนวก
ปฏิทินปฏิบัติงานในการเก็บผลงานแผนการสะสมผลงาน
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในแฟ้มสะสมผลงาน
1. การสังเกต เป็นวิธีการที่ใช้มากที่สุดในการศึกษาเด็กแบ่งออกเป็นการสังเกตอย่างมีระบบ ได้แก่ สังเกตอย่างมีจุดมุ่งหมายแน่นอน ตามแผนการสังเกตแบบไม่เป็นทางการ ได้แก่
สังเกตขณะเด็กทำกิจกรรมประจำวัน เมื่อเกิดพฤติกรรมที่ไม่คาดคิด ครูก็จดบันทึกไว้
2. การบันทึก
มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องทำสม่ำเสมอ
3. การสนทนา
ใช้การสนทนาได้ทั้งรายกลุ่มหรือรายบุคคลเพื่อประเมินความสามารถในการแสดงความคิดเห็นและด้านภาษาและบันทึกลงในแบบบันทึกพฤติกรรมหรือรายวัน
4. การสัมภาษณ์
เป็นการพูดคุยกับเด็กรายบุคคล
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม คำถามเข้าใจง่าย
![]() |
แบบบันทึกคำพูด |
![]() |
การสัมภาษณ์ |
การจัดทำแฟ้มสะสมผลงานภาพถ่าย
1.ใช้วิธีถ่ายภาพด้วยกฎสามส่วน
แบ่งภาพออกเป็นสามส่วนเท่าๆกัน
2.ควรถ่ายภาพเด็กเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มเล็กมากกว่ากลุ่มใหญ่
3.ถ่ายภาพในมุมต่างกัน
4.ถ่ายภาพต่อเนื่องเป็นชุด
ขณะเด็กกำลังแก้ปัญหา
มีรากฐานมาจากมนุษยปรัชญา
(Anthroposophy)โดย ดร.รูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf
Steiner 1861-1925) ได้นำมาจัดการศึกษาในโรงเรียนที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนามนุษย์ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ด้วยการพัฒนากาย
(Body)
จิต (Soul)
และจิตวิญญาณ
(Spirit)ให้บรรลุถึง
ความดี (Good)
ความงาม
(Beauty)
ความจริง
(Truth)
ความสำคัญของครูในอนุบาลวอลดอร์ฟ
ความสำคัญของครูในอนุบาลวอลดอร์ฟ จึงต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจ “เด็กตามธรรมชาติ” (Natural
Childhood) และภาวะกึ่งฝัน
(Dreamy
stated) ที่มีอยู่ในวัยเด็ก
การศึกษาจึงเสมือนการทำหน้าที่ปลุกให้เด็กค่อยๆตื่นขึ้นมาในโลก
หาวิธีเชื่อมโยงเด็กสู่โลกที่เขาได้ลงมาเกิด
ครูยังต้องใส่ใจในการเตรียมสิ่งแวดล้อม สถานที่ อาคาร ห้องเรียน บริเวณสวน
ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ และของเล่นที่เด็กเล่น ให้เด็กสามารถเชื่อมโยงที่มาที่ไปในธรรมชาติได้
- กาย (Body) พัฒนาผ่านพลัง เจตจำนง (Will) การมุ่งมั่นลงมือทำให้สำเร็จ
- จิต (Soul) พัฒนาผ่านความรู้สึก (Feeling) เข้าถึงความงาม
และศิลปะแบบต่างๆ
- จิตวิญญาณ (Spirit) พัฒนาผ่านความคิด (Thinking) การตระหนักรู้ ในคุณธรรมความดี
การศึกษาแนววอลดอร์ฟมีลักษณะอย่างไร?
1.ความเข้าใจครูผู้สอน
การศึกษาวอลดอร์ฟมีจุดเน้นที่ “ครู” คือมีการจัดทำคอร์สฝึกหัดครูในแนวทางวอลดอร์ฟ (Waldorf
Early Childhood teacher training) อยู่อย่างต่อเนื่อง
ครูและผู้ปกครองที่สนใจสามารถลงคอร์สเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในการดูแลเด็กทุกฝ่าย
มีโอกาสพัฒนาตนให้มีความรู้ความสามารถตามแนวทางของมนุษยปรัชญา
เข้าใจธรรมชาติมนุษย์และธรรมชาติวัยเด็ก
2.ทักษะศิลปะครูผู้สอน
การศึกษาแนววอลดอร์ฟฝึกฝนทักษะชีวิตโดยเฉพาะด้านศิลปะ ความเข้าใจเรื่องสี
ฝึกหัดการวาดภาพระบายสี งานปั้น งานหัตถกรรมเย็บปักถักทอ การจัดดอกไม้
ตลอดจนงานในชีวิตประวัน เช่น งานบ้าน งานครัว งานสวน ฯลฯ เพื่อขัดเกลายก
ระดับจิตใจตนเองไปสู่ความละเอียดประณีต
3.การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
การจัดประสบการการณ์เรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในแนววอลดอร์ฟ
*หลักสูตรและกิจกรรม
จัดให้มีความเชื่อมโยงกัน ทั้ง 3 มิติ คือ
•รอบปี (ฤดู เทศกาล วัฒนธรรม)
•รอบสัปดาห์ (วิถีชีวิตของคนในชุมชน สังคม ครอบครัว)
•รอบวัน (จังหวะชีวิตในหนึ่งวัน)
4. การจัดสภาพแวดล้อม
การจัดห้องอนุบาล มีลักษณะเป็น “อนุบาลแบบบ้าน” โดยมีครูเสมือนแม่
การจัดสภาพแวดล้อมภายในเช่นเดียวกับบ้านหนึ่งหลังที่มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งห้องครัว
ห้องนอน ห้องนั่งเล่น จัดให้มีความสวยงามและเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิต ประจำวัน
5. ธรรมชาติการเรียนรู้ในวัยเด็ก
เด็กเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ
โดยมีครูทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง (Imitation)
การงานในชีวิต
ประจำวัน
ครูจะลงมือทำงานต่างๆด้วยตัวเอง
6. เล่นอย่างอิสระ
โดยไม่แทรกแซง (Free play) เสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
(Imagination)
เด็กจะได้เล่นอย่างเสรี
ด้วยวัตถุที่มาจากธรรมชาติ
7. บทบาทครู 3 R
- การทำซ้ำ (Repetition) เพื่อให้เกิดมั่นคง
ครูควรทำกิจกรรมการเรียนการสอนและงานบ้านต่างๆอย่างสม่ำเสมอ หรือเรียกว่าการทำซ้ำ
- จังหวะ (Rhythm) เพื่อให้สิ่งแวดล้อมมีบรรยากาศอบอุ่นและผ่อนคลาย
เหมาะสมกับธรรมชาติของวัยเด็ก ครูควรจัดตารางประจำวัน ตารางกิจกรรมในสัปดาห์
และเทศกาลประจำปี ให้สอดคล้องกับจังหวะที่ราบรื่นแบบลมหายใจเข้าและออก
- เคารพ (Reverence) ด้วยความตระหนักรู้ที่ว่า
“มนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ”
ทำให้เราอยู่ในโลกด้วยความรู้สึกกตัญญูและเคารพต่อธรรมชาติ
ทั้งยังเคารพต่อศักยภาพของความเป็นมนุษย์
การศึกษาแนววอลดอร์ฟมีประโยชน์ต่อเด็ก
- เด็กมีอิสระ พัฒนาตนเต็มศักยภาพที่ตนมี
- เด็กมีความคิดแยบคาย สดใส มีพลังและสร้างสรรค์
- เด็กมีความเมตตา กล้าหาญ ใฝ่รู้ เอื้ออาทร
การศึกษาแนววอลดอร์ฟไม่ได้วัดความสำเร็จของการศึกษาจากผลการเรียนรู้
แต่มุ่งดึงศักยภาพ ซึ่งแฝงเร้นอยู่ในตัวเด็กแต่ละคนให้แสดงออกมา
ทำให้เด็กค้นพบพลัง ความกระตือรือร้น และปัญญาที่ตนเองมีอยู่
เพื่อนำมาซึ่งคุณภาพสูงสุดของตัวเขาเอง
การเรียนการสอนแบบไฮสโคป
ไฮสโคป เป็นการสอนที่เน้นการเรียนรู้แบลงมือทำ ผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย
ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น
โดยการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบไฮสโคป
เริ่มต้น การพัฒนาโปรแกรมไฮสโคปใช้ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Cognitive Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) เป็นพื้นฐานโดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียนซึ่งเน้น การเรียนรู้แบบลงมือกระทำ
1. การวางแผน (Plan) เป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติ ด้วยการสนทนาร่วมกันระหว่างครูกับเด็ก และเด็กกับเด็ก ว่าจะทำอะไร อย่างไร การวางแผนกิจกรรมนี้เด็กอาจแสดงด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็กหรือบอกให้ครูบันทึก เป็นกระบวนการที่เด็กมีโอกาสเลือกและตัดสินใจ
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบไฮสโคป
เริ่มต้น การพัฒนาโปรแกรมไฮสโคปใช้ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Cognitive Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) เป็นพื้นฐานโดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียนซึ่งเน้น การเรียนรู้แบบลงมือกระทำ
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่และเด็ก
(Adult-Child Interaction)
การเรียนรู้แบบลงมือกระทํานั้นจะประสบความสําเร็จได้
เมื่อผู้ใหญ่และเด็กมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ไฮสโคปจึงเน้นให้ผู้ใหญ่สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและปลอดภัยให้แก่เด็ก
สภาพแวดล้อมการเรียนรู้
(Learning Environment)
1. พื้นที่
ต้องมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม
เพื่อให้เอื้อต่อการเรียนการสอนที่เน้นการเรียนแบบร่วมมือกระทำ
2. วัสดุอุปกรณ์
สื่อการเรียนและอุปกรณ์ต้องมีมากพอและหลากหลาย
3. การจัดเก็บ
เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เกี่ยวกับวงจรการค้นหา-ใช้-เก็บคืน
![]() |
กิจวัตรประจำวัน |
1. การวางแผน (Plan) เป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติ ด้วยการสนทนาร่วมกันระหว่างครูกับเด็ก และเด็กกับเด็ก ว่าจะทำอะไร อย่างไร การวางแผนกิจกรรมนี้เด็กอาจแสดงด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็กหรือบอกให้ครูบันทึก เป็นกระบวนการที่เด็กมีโอกาสเลือกและตัดสินใจ
![]() |
ตัวอย่าง |
2. การปฏิบัติ (Do) คือ การลงมือทำกิจกรรมตามแผนที่วางไว้ เป็นส่วนที่เด็กได้ร่วมกันคิด แก้ปัญหา ตัดสินใจ และทำงานด้วยตนเอง หรือร่วมกับเพื่อนอย่างอิสระตามเวลาที่กำหนดโดย มีครูเป็นผู้ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือในจังหวะที่เหมาะสม เป็นส่วนที่เด็กได้มีการพัฒนาการพูดและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูง
3. การทบทวน (Review)
เด็ก ๆ
จะเล่าถึงผลงานที่ตนเองได้ลงมือทำเพื่อทบทวนว่าตนเองนั้นได้ปฏิบัติงานตามแผนที่ได้วางไว้หรือไม่
มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร การทบทวนจุดประสงค์ที่แท้จริงคือ
ต้องการให้เด็กได้เชื่อมโยงแผนการปฏิบัติงานกับผลงานที่ทำ
รวมถึงการเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ลงมือทำด้วยตนเอง
การประเมินพัฒนาการ
(Assessment)
โปรแกรมไฮสโคป
การประเมินถือเป็นงานโดยตรงของครูที่จะต้องตั้งใจปฏิบัติและเอาใจใส่อย่างเต็มที่
ครูไฮสโคปจะทํางานร่วมกันเป็นคณะ ในแต่ละวันครูทุกคนจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก
ข้อมูลนี้ได้จากการสังเกตและการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กในกิจวัตรประจําวัน
รายการสังเกตใน COR มี 6
รายการตามประสบการณ์สำคัญในไฮสโคป คือ
1. การริเริ่ม (Initiative)
2. ความสัมพันธ์ทางสังคม (Social Relations)
3. การนําเสนออย่างสร้างสรรค์ (Creative
Representation)
4. ดนตรีและการเคลื่อนไหว (Music and Movement)
5. ภาษาและการรู้หนังสือ (Language and
Literacy)
6. ตรรกและคณิตศาสตร์ (logic and
Mathematics)
ประโยชน์ของแนวการสอนไฮสโคป (High
Scope)
1.
สอนให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น ซึ่งเริ่มต้นจากความไว้วางใจ
2. การลงมือทำงานฝึกให้เด็กวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน
เป็นระบบ
3. เด็กได้ฝึกสมาธิทำให้เด็กเกิดปัญญา
ฝึกความมีระเบียบวินัย
ฝึกการคิดอย่างมีความหมาย
คำศัพท์น่ารู้
1. The Character บทบาท
2. Behavior พฤติกรรม
3. Attitude ทัศนคติ
4. Mechanism กลไก
5. Environment สภาพแวดล้อม
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
- นำความรู้ที่ได้จากการนำเสนอไปใช้ในการเรียนการสอนในอนาคตได้ เช่น การจัดการเรียนตามทฤษฎีต่างๆ การใช้ภาษาธรรมชาติโดยให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเอง รู้วิธีการจัดสารนิทัศน์และแฟ้มสะสมผลงานได้ถูกต้อง รู้จักการสอนแบบไฮสโคปและวอร์ดรอฟ
การประเมิน
ประเมินตนเอง
- ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน และสนใจที่เพื่อนแต่ละกลุ่มนำเสนอ จดบันทึกความรู้ระหว่างการนำเสนอ แสดงความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นจากเพื่อนๆ
ประเมินเพื่อน
- เพื่อนๆตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน จดบันทึกความรู้ระหว่างนำเสนอ แสดงความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นร่วมกัน รับฟังคำแนะนำจากอาจารย์
ประเมินอาจารย์
- อาจารย์ให้ความรู้ละเอียด เปิดโอกาสให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นร่วมกัน ให้คำแนะนำ และสิ่งที่ควรแก้ไขให้เหมาะสมในครั้งต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น